พอร์ตสาธิต เดือน พ.ย. 62
กลับมาพบกับสรุปพอร์ตสาธิตประจำเดือน พ.ย. 62 กันนะครับ
พอร์ตสาธิตนี้จัดทำขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์คือ
- เป็นพอร์ตสำหรับการศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ของผู้เข้าสัมมนา DIY Portfolio กับ A-Academy
(ดังนั้นถ้าบางท่านอ่านไม่รู้เรื่อง ส่วนหนึ่งอาจเพราะเนื้อหาเหล่านี้
ผมสอนไว้ในหลักสูตร DIY ซึ่งไม่ได้มีวิดีโอให้ดูใน YouTube นะครับ)
- เป็นพอร์ตที่ตั้งใจจะสาธิตการตัดสินใจลงทุนแบบ Active ในหลายๆ มิติ เช่น Tactical Asset Allocation และ Fund Selection โดยพร้อมรับความเสี่ยงกรณีที่มีการตัดสินใจผิดพลาด (พอร์ตหลักอื่นๆ ของผม รวมทั้งพอร์ตของลูกค้า Avenger Planner ส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้ตัดสินใจ Active ลักษณะเดียวกันกับพอร์ตนี้)
- เป็นพอร์ตการลงทุนจริงของลูกสาวผม
สำหรับเป็นทุนการศึกษาในอีกประมาณ 18 ปีข้างหน้า
ตามแผนที่เขียนไว้ใน หน้านี้
สถานะพอร์ต ณ 29 พ.ย. 62
ทุกท่านสามารถดาวโหลดไฟล์สรุปพอร์ตในรูปแบบ Excel ของเดือนนี้ ไปศึกษาอย่างละเอียดโดย คลิ๊กที่ลิ้งค์นี้ ครับ
- เดือนนี้พอร์ตมีมูลค่า 423,682.55 บาท
(รวมเงินลงทุนใหม่ประจำเดือน 5,000 บาทแล้ว)
- เดือน พ.ย. 62 ขาดทุน เท่ากับ -1,528.78 บาท หรือ -0.36%
- ตั้งแต่ต้นปี 62 (11 เดือน) กำไร เท่ากับ 28,459.91 บาท หรือ +8.07%
- วัดผลเทียบ Benchmark เดือน พ.ย. 62
พอร์ต -0.36% vs BM -0.40% ชนะ Benchmark อยู่ +0.04%
- วัดผลเทียบ Benchmark ตั้งแต่เริ่มลงทุน (ส.ค. 59)
พอร์ต +9.85% vs BM +29.23% แพ้เท่ากับ -19.38%
หากพิจารณาตั้งแต่เริ่มลงทุน จะถือเป็นการแพ้สะสมที่สูงมาก ซึ่งก็เกิดจากเหตุผลหลักๆ คือ
- เลือกกองทุนผิด (Selection)
- ปรับพอร์ตระยะสั้น-กลางผิด (TAA)
- เสียค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย และค่าบริหารกองทุน
- การเลือก Benchmark ที่ไม่เหมาะสม (ปัจจุบันแก้ไขให้เหมาะสมแล้ว ตั้งแต่ต้นปี 2019 เป็นต้นมา)
ในส่วนของ Benchmark นั้น หากล้างผลการแพ้ชนะในปีเก่าๆ ทิ้งไป เหลือไว้แค่ปี 2019 ก็จะดูเข้าใจง่ายขึ้น ดังรูปด้านล่าง
นั่นคือตั้งแต่ต้นปีมานี้ BM กำไร +15.52% แต่พอร์ตกำไรแค่ +8.07% แพ้อยู่ -7.45%
สาเหตุของการแพ้ BM เดือนล่าสุดคืออะไร ในหัวข้อต่อไป จะมีคำตอบให้ครับ
วิเคราะห์องค์ประกอบของผลตอบแทนเดือน ต.ค. 62
จากกราฟ Performance Attribution (อย่างง่าย) ด้านบน เราสามารถวิเคราะห์ดูสาเหตุได้ครับ ว่าสาเหตุของการที่พอร์ตแพ้ BM ในเดือนนี้นั้น เกิดจากอะไร
- ระดับ Tactical Asset Allocation (TAA)
- ระดับนี้เราจะยังไม่ดูกอง แต่ดูที่ระดับ Asset ก่อน โดยเดือนนี้อสังหาไทย และ หุ้นไทยยังปรับตัวลงต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว ตามมาด้วยทองคำที่ลงมาค่อนข้างแรง จะมีเพียงหุ้นต่างประเทศที่บวกค่อนข้างสูง
- สรุปผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ในเดือน พ.ย. 62 เป็นดังนี้
- ตราสารหนี้ไทย +0.33%
- อสังหาไทย -2.77%
- หุ้นไทย -0.57%
- หุ้นต่างประเทศ +3.72%
- ทองคำ -3.32%
- ซึ่งในเดือน พ.ย. 62 ผมมีการ Underweight หุ้นไทยไว้ค่อนข้างเยอะ (Actual 15.8% vs Target 30.0%) ก็ถือว่าทำได้ถูกต้อง เพราะหุ้นไทยตกต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว
- ส่วนที่ถือว่าทำได้ผิดเล็กน้อย ก็คือการที่ยัง Overweight อสังหาอยู่นิดๆ (Actual 27.6% vs Target 25.0%)
- ส่วนสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีสัดส่วนการลงทุนใกล้เคียงแผน คือ Neutral Weight เราจะไม่นำมาตีความด้วยนะครับ เพราะถือว่า ไม่ได้ Take Active Decision ในส่วนของสินทรัพย์นั้นๆ แค่ลงทุนไปตามแผนปกติ
- โดยสรุปในระดับของ TAA เดือนนี้ ผมคิดว่าทำได้กลางๆ คือมีทั้งถูกและ ผิด หักล้างกันไป
2. ระดับ Fund Selection
- ในระดับนี้เราจะเจาะเข้ามาดูกองที่เลือกไว้กันว่า เมื่อเทียบกับ Asset BM แล้ว กองทำได้ดีร้ายอย่างไร
- หากอ่านที่คอลัมน์ Selection จะเห็นว่าเดือนนี้มีกองที่ Overperformed ตัว Asset BM อยู่ 2 กองคือ PRINCIPAL iPROP-A และ PRINCIPAL GOPP-A
- ขณะที่มีกองที่ Underperformed อยู่ 5 กอง ซึ่งแปลว่าแพ้มากกว่าชนะ
ซึ่งกองที่แพ้นั้นหลักๆ ก็แพ้เพราะเหตุผลต่อไปนี้
- หุ้นไทย
ผมยังคงมี KFDYNAMIC ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดกลางอยู่ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา หุ้นขนาดกลางก็ยังไม่ Perform เทียบหุ้นขนาดใหญ่เท่าไรนัก และตัวกอง KFDYNAMIC เอง ฝีมือก็เริ่มแผ่ว ซึ่งผมจะรอดูอีกสักพักว่าจะต้องเปลี่ยนกองหรือไม่
- หุ้นต่างประเทศ
กอง PRINCIPAL GIF ซึ่งลงทุนในหุ้น Global Infrastructure ทั่วโลกให้ผลตอบแทนเป็นลบ ทั้งๆ ที่หุ้นโลกปรับขึ้นแรง นั่นก็เพราะ ตลาดฝั่ง DM ปรับตัวเข้าสู่โหมด Risk On มากขึ้น หุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง Global Infrastructure จึงถูกขายออก เพื่อมาลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นแทนขณะที่กอง ASP-ASIAN แม้จะบวก แต่ก็ยังบวกไม่เท่าหุ้นในฝั่ง DM นั่นเพราะมีหุ้นจีนถ่วงอยู่ค่อนข้างมาก ซึ่งตลาดเอเชียยังมีเรื่องวุ่นวายอยู่มากหน่อย เช่น เรื่องการประท้วงในฮ่องกงเป็นต้น
ซึ่งต้องขอ Remark ไว้ตัวใหญ่ๆ ว่า นี่เป็นเพียงการอ่านผลรายเดือน ซึ่งก็สะท้อนแค่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นช่วงสั้นๆ เท่านั้น ผมนำมันมาใช้ตัดสินใจบ้างก็เพียงเล็กน้อย ส่วนในการตัดสินใจปรับพอร์ต จะใช้การประเมินภาพรวมถึงสิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเหมาะสมสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง
สรุปการปรับพอร์ตเดือนนี้
ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 62 ที่ผ่านมา ผมตัดสินใจคงพอร์ตไว้ ในสถานะ Underweight หุ้น ทั้งไทยและต่างประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะฝั่งที่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานนั้นดูไม่ค่อยดี
จากนั้นเมื่อมีการผ่อนคลายเรื่องนโยบายการเงิน ด้วยการดำเนินนโยบายคล้ายๆ QE ออกมาจากฝั่งธนาคารกลางสหรัฐฯ ในช่วงเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา
ผมก็เริ่มปรับสัดส่วนหุ้นต่างประเทศให้เข้าสู่ Neutral Weight หรือระดับปกติมากขึ้น เพราะมองว่าน่าจะได้ประโยชน์บ้าง แต่คงไม่ปรับไปจนถึงขั้น Overweight เพราะแม้อารมณ์ตลาดจะดีขึ้น แต่ Valuation ของหุ้นต่างประเทศก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่ถูกแล้ว
ส่วนแนวโน้มราคาสินทรัพย์ของสินทรัพย์ต่างๆ นั้น ก็ยังถือว่าค่อนข้างดี
จากตารางด้านบนนี้ ซึ่งผมให้น้องๆ ในทีม Avenger Planner ช่วยทำให้ โดยเป็นข้อมูล ณ สิ้นสัปดาห์ 29 พ.ย. 62 จะเห็นว่าหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในทิศทางขาขึ้น คือสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 20W (100 วัน) และ 40W (200 วัน) ได้ต่อเนื่อง จะมีเพียงหุ้นไทยที่ยังอยู่ในทิศทางขาลงอย่างชัดเจน
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา จะมีอสังหาไทยฯ และทองคำที่ปรับลงค่อนข้างแรง จนหลุดขาขึ้นระยะกลาง (20W) มา 4 สัปดาห์แล้ว แต่ยังพอจะยืนขาขึ้นระยะยาว (40W) ได้อยู่ ซึ่งก็ต้องลุ้นกันต่อไป
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ผมจึงตัดสินใจที่จะคงการตัดสินใจลงทุนของพอร์ตนี้ไว้เหมือนเดิม นั่นคือ “เน้น Underweight หุ้นไทยเป็นหลัก” และปรับสัดส่วนสินทรัพย์อื่นๆ ในพอร์ต ให้เข้าสู่ระดับปกติ (Neutral Weight)
โดยจะดำเนินการปรับพอร์ตเงินใหม่ 5,000 บาท ที่เพิ่งใส่เข้ามาดังนี้
นั่นคือจะนำไปซื้อกอง PRINCIPAL GOPP-A ซึ่งเป็นหุ้นต่างประเทศ ฝั่ง Developed Market (DM EQ) โดยเมื่อซื้อแล้ว จะส่งผลให้ Weight ของ Foreign Stock ปรับเข้าสู่ Neutral Weight ได้ตามที่ต้องการ