สถานะพอร์ตและการตัดสินใจลงทุน (ต.ค. 62)

model-portfolio-2019-10

พอร์ตสาธิต เดือน ต.ค. 62

กลับมาพบกับสรุปพอร์ตสาธิตประจำเดือน ต.ค. 62 กันนะครับ

พอร์ตสาธิตนี้จัดทำขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์คือ

  1. เป็นพอร์ตสำหรับการศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
    ของผู้เข้าสัมมนา DIY Portfolio กับ A-Academy
    (ดังนั้นถ้าบางท่านอ่านไม่รู้เรื่อง ส่วนหนึ่งอาจเพราะเนื้อหาเหล่านี้
    ผมสอนไว้ในหลักสูตร DIY ซึ่งไม่ได้มีวิดีโอให้ดูใน YouTube นะครับ)
  2. เป็นพอร์ตที่ตั้งใจจะสาธิตการตัดสินใจลงทุนแบบ Active ในหลายๆ มิติ เช่น Tactical Asset Allocation และ Fund Selection โดยพร้อมรับความเสี่ยงกรณีที่มีการตัดสินใจผิดพลาด (พอร์ตหลักอื่นๆ ของผม รวมทั้งพอร์ตของลูกค้า Avenger Planner ส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้ตัดสินใจ Active ลักษณะเดียวกันกับพอร์ตนี้)
  3. เป็นพอร์ตการลงทุนจริงของลูกสาวผม
    สำหรับเป็นทุนการศึกษาในอีกประมาณ 18 ปีข้างหน้า
    ตามแผนที่เขียนไว้ใน หน้านี้

สถานะพอร์ต ณ 31 ต.ค. 62

ทุกท่านสามารถดาวโหลดไฟล์สรุปพอร์ตในรูปแบบ Excel ของเดือนนี้ ไปศึกษาอย่างละเอียดโดย คลิ๊กที่ลิ้งค์นี้ ครับ

01-outstanding

02-performance

  • เดือนนี้พอร์ตมีมูลค่า 420,211.34 บาท
    (รวมเงินลงทุนใหม่ประจำเดือน 5,000 บาทแล้ว)
  • เดือน ต.ค. 62 กำไร เท่ากับ 127.87  บาท หรือ +0.03%
  • ตั้งแต่ต้นปี 62 (10 เดือน) กำไร เท่ากับ 29,988.69 บาท หรือ +8.47%

03-benchmark

  • วัดผลเทียบ Benchmark เดือน ต.ค. 62
    พอร์ต +0.03% vs BM -0.47% ชนะ Benchmark อยู่ +0.50%
  • วัดผลเทียบ Benchmark  ตั้งแต่เริ่มลงทุน (ส.ค. 59)
    พอร์ต +10.25% vs BM +29.76% แพ้เท่ากับ -19.51%

หากพิจารณาตั้งแต่เริ่มลงทุน จะถือเป็นการแพ้สะสมที่สูงมาก ซึ่งก็เกิดจากเหตุผลหลักๆ คือ

  1. เลือกกองทุนผิด (Selection)
  2. ปรับพอร์ตระยะสั้น-กลางผิด (TAA)
  3. เสียค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย และค่าบริหารกองทุน
  4. การเลือก Benchmark ที่ไม่เหมาะสม (ปัจจุบันแก้ไขให้เหมาะสมแล้ว ตั้งแต่ต้นปี 2019 เป็นต้นมา)

ในส่วนของ Benchmark นั้น หากล้างผลการแพ้ชนะในปีเก่าๆ ทิ้งไป เหลือไว้แค่ปี 2019 ก็จะดูเข้าใจง่ายขึ้น ดังรูปด้านล่าง

03-2-benchmark

นั่นคือตั้งแต่ต้นปีมานี้ BM กำไร +15.99% แต่พอร์ตกำไรแค่ +8.47% แพ้อยู่ -7.52%

สาเหตุของการแพ้ BM เดือนล่าสุดคืออะไร ในหัวข้อต่อไป จะมีคำตอบให้ครับ


วิเคราะห์องค์ประกอบของผลตอบแทนเดือน ต.ค. 62

slide1

จากกราฟ Performance Attribution (อย่างง่าย) ด้านบน เราสามารถวิเคราะห์ดูสาเหตุได้ครับ ว่าสาเหตุของการที่พอร์ตแพ้ BM ในเดือนนี้นั้น เกิดจากอะไร

  1. ระดับ Tactical Asset Allocation (TAA)
  • ระดับนี้เราจะยังไม่ดูกอง แต่ดูที่ระดับ Asset ก่อน โดยเดือนนี้มีอสังหาไทย และ หุ้นไทยที่ปรับตัวลงค่อนข้างมาก ส่วนสินทรัพย์อื่นปรับตัวขึ้น
  • สรุปผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ในเดือน ต.ค. 62 เป็นดังนี้
    • ตราสารหนี้ไทย +0.02%
    • อสังหาไทย -2.36%
    • หุ้นไทย -2.01%
    • หุ้นต่างประเทศ +2.99%
    • ทองคำ +1.26%
  • ซึ่งในเดือน ต.ค. 62  ผมมีการ Underweight หุ้นไทยไว้ค่อนข้างเยอะ
    ก็ถือว่าทำได้ถูกต้อง เพราะหุ้นไทยตกหนัก
  • ขณะที่ผมมีการ Underweight หุ้นต่างประเทศไว้ ก็ถือว่าตัดสินใจผิดเพราะในเดือนนี้หุ้นต่างประเทศให้ผลตอบแทนเป็นบวกมาก
  • โดยสรุปในระดับของ TAA เดือนนี้ ผมคิดว่าทำได้กลางๆ คือมีทั้งถูกและ ผิด หักล้างกันไป

2. ระดับ Fund Selection

  • ในระดับนี้เราจะเจาะเข้ามาดูกองที่เลือกไว้กันว่า เมื่อเทียบกับ Asset BM แล้ว กองทำได้ดีร้ายอย่างไร
  • หากอ่านที่คอลัมน์ Selection จะเห็นว่าเดือนนี้มีกองที่ Overperformed ตัว Asset BM อยู่ 1 กองคือ PRINCIPAL iPROP-A และ 1AMSET50-RA
  • ขณะที่มีกองที่ Underperformed อยู่ 5 กอง ซึ่งแปลว่าแพ้มากกว่าชนะมาก

ซึ่งกองที่แพ้นั้นหลักๆ ก็แพ้เพราะเหตุผลต่อไปนี้

  • หุ้นไทย ผมยังคงมี KFDYNAMIC ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดกลางอยู่ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา หุ้นขนาดกลางก็ยังไม่ Perform เทียบหุ้นขนาดใหญ่เท่าไรนัก และตัวกอง KFDYNAMIC เอง ฝีมือก็เริ่มแผ่ว ซึ่งผมจะรอดูอีกสักพักว่าจะต้องเปลี่ยนกองหรือไม่
  • หุ้นต่างประเทศ  ทั้ง 3 กองที่ลงทุน แพ้ Asset BM ซึ่งก็คือดัชนี S&P500 TRI ทั้งหมดเลย ซึ่งจริงๆ ก็แพ้มาตลอดตั้งแต่เริ่มลงทุนพอร์ตนี้
    ยอมรับเลยครับว่า S&P500 ขึ้นมาดีจริงๆ และเสียดายที่ไม่ได้ Allocate ลงกองนี้ตั้งแต่แรกๆ ครั้นจะมาลงกองนี้ตอนนี้ก็ “กลัวเกินไป” เพราะหุ้นสหรัฐฯ ณ ปัจจุบันก็แพงมากแล้ว ขอกระจายลง 3 กองแบบนี้ต่อไป จะสบายใจกว่าครับ

ซึ่งต้องขอ Remark ไว้ตัวใหญ่ๆ ว่า นี่เป็นเพียงการอ่านผลรายเดือน ซึ่งก็สะท้อนแค่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นช่วงสั้นๆ เท่านั้น ผมนำมันมาใช้ตัดสินใจบ้างก็เพียงเล็กน้อย ส่วนในการตัดสินใจปรับพอร์ต จะใช้การประเมินภาพรวมถึงสิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะเหมาะสมสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง


สรุปการปรับพอร์ตเดือนนี้

ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 62 ที่ผ่านมา ผมตัดสินใจคงพอร์ตไว้ ในสถานะ Underweight หุ้น ทั้งไทยและต่างประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะฝั่งที่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานนั้นดูไม่ค่อยดี

และในเดือนที่แล้ว ก็ได้มีการลดสัดส่วนหุ้นไทยลงอีกค่อนข้างมาก ตามที่แสดงในกราฟสัดส่วนการลงทุนด้านล่างนี้

05-aa-history

แม้ล่าสุดจะมีการผ่อนคลายเรื่องนโยบายการเงิน ด้วยการดำเนินนโยบายคล้ายๆ QE ออกมาจากฝั่งธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งน่าจะช่วยเสริมให้หุ้นขึ้นได้ดีขึ้น แต่ผมก็ยังคิดว่าด้วย ระดับความถูกแพง (Valuation) ของหุ้นประเทศต่างๆ ณ ปัจจุบัน ถือว่าไม่ถูกแล้ว โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ ที่ค่อนข้างแพง ถ้าจะยังพอมีหุ้นที่ไม่แพงมากอยู่บ้างก็คือฝั่งหุ้นเอเชีย (รวมจีน)

ทำให้ในแง่ Attractiveness หรือความน่าสนใจที่จะลงทุนหุ้นเยอะๆ ในพอร์ต จึงมีไม่มากนัก

แต่จะลดหุ้นลงมากๆ ไปเลย ก็น่าจะเร็วเกินไป เพราะแนวโน้มราคาสินทรัพย์ก็ส่วนใหญ่ ยกเว้นหุ้นไทยก็ยังอยู่ในทิศทางหาขึ้น ตามตารางด้านล่างนี้

trend-summary

ข้อมูลในตารางนี้ ผมให้น้องๆ ในทีม Avenger Planner ช่วยทำให้ โดยเป็นข้อมูล ณ สิ้นสัปดาห์ 25 ต.ค. 62

จะเห็นว่าหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในทิศทางขาขึ้น คือสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 20W (100 วัน) และ 40W (200 วัน) ได้ต่อเนื่องหลายสัปดาห์ติดกัน จะมีเพียงหุ้นไทยที่ยังอยู่ในทิศทางขาลง ส่วนทางกับชาวบ้านเค้าเท่านั้น

ดังนั้น สถานการณ์ปัจจุบัน ผมจึงขอ Underweight หนักๆ เพียงหุ้นไทยอย่างเดียวก่อน สำหรับหุ้นต่างประเทศ จะลงทุนใกล้เคียงสถานะ Neutral โดยจะปรับพอร์ตดังนี้

06-rebalance

นั่นคือจะนำเงินใหม่ 5,000 บาทหรือคิดเป็น 1.2% ของพอร์ต ไปซื้อเพิ่มในกอง ASP-ASIAN เพื่อเพิ่มสัดส่วนหุ้นต่างประเทศ จากเดิม 17.5% ขึ้นไปเป็น 18.7% ซึ่งจะใกล้เคียง Neutral Weight ตาม SAA ที่จัดไว้คือ 20.0% มากขึ้นครับ

ส่วนที่เลือกเป็น ASP-ASIAN เพราะอยากซื้อหุ้นที่ยังมี Valuation ที่ไม่แพงนักครับ